4 ขั้นตอน เปลี่ยน Passion เป็นแบรนด์ !

4 ขั้นตอนที่จะเปลี่ยน Passion ให้กลายเป็นคุณค่าแบรนด์ !

ตั้งแต่ทำงานเป็นที่ปรึกษามานาน สิ่งที่ทีมงานมักพบบ่อยคือ การสร้างแบรนด์มักเริ่มจาก Passion บางอย่างของผู้ก่อตั้งซึ่งไม่ผิดแต่ต้องขยายความคิดให้ไกลกว่านั้นแล้วเราจะเริ่มอย่างไร? จากบทความนี้ผมเรียบเรียงมาให้ว่าเราจะต่อยอดจาก Passion ไปได้อย่างไร? ให้เป็นตัวตนแบรนด์ขึ้นมาอยากรู้ไปติดตามกันครับ

ขั้นตอนที่ 1 :

ตั้งคำถามสิ่งที่คุณหลงใหลสามารถขยายกรอบความคิดของคุณให้เป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างไร ?

ความสนใจหรือความหลงใหลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสามารถนำพาธุรกิจของเราให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้ หากแต่จะต้องสามารถขยายกรอบความคิดของเราให้กว้างออกไป ไม่มองว่ามี Passion เพียงอย่างเดียว จะสามารถนำมาสร้างเป็นสินค้าหรือบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ เพราะจะทำให้เรามีองค์ความรู้หรือองค์ความคิดที่แคบและเล็กจนเกินไป ต้องถามตัวเองว่า Passion ที่เรามี สามารถมอบคุณค่าอะไรให้กับผู้อื่นได้บ้าง เปลี่ยนความคิดจาการเป็นผู้รับสู่การเป็นผู้ให้ ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารที่ขายขนมหวานที่คนรุ่นใหม่ชอบทานเป็นอย่างมากภายใต้แบรนด์ After You เกิดจากการที่ หญิงสาวคนหนึ่งรู้สึกอยากแบ่งปันมื้ออร่อยให้กับคนจำนวนมากได้ลิ้มลองฝีมือของเขา ภายใต้กำลังที่สามารถทำได้ โดยมีความคิดที่เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาหลงใหลนี้จะสำเร็จได้ เขาจึงมุ่งมั่นทำขนมที่อร่อยและพิถีพิถันเหมือนอย่างที่ตัวเองชื่นชอบจับมือร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องคนสนิทซึ่งชื่นชอบด้าน การบริหารธุรกิจ ต่างร่วมมือกันพัฒนาในส่วนที่ตัวเองหลงใหลและถนัดจนสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นที่รู้จักและประสบความสำเร็จอย่างมากมาย และยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้บริการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคด้วย

อีกหนึ่งตัวอย่างความหลงใหลของคุณ อีลอน มัสก์ ที่เชื่อว่าโลกในอนาคต รถที่เราใช้ในปัจจุบันจะถูกเปลี่ยนเป็นรถที่ใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด เขาหลงใหลและพัฒนามันด้วยความเชื่อที่ว่า สิ่งเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้

จะสังเกตเห็นว่ากลไกในการตั้งคำถามของการเปลี่ยนถ่าย Passion ให้กลายเป็น Valua จะต้องเริ่มต้นจากการขยายความคิดของเราว่าเราสามารถมอบคุณค่าอะไรให้แก่ผู้อื่นได้บ้างและเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการได้ทำและส่งมอบสิ่งดีๆออกไปแก่ผู้อื่น ก่อนการคิดว่า ฉันควรจะได้อะไรจากสิ่งที่ทำนี้บ้าง

ขั้นตอนที่ 2 :

ตั้งคำถามโดยการเขียนออกมาว่า ทำไม Passion หรือความหลงใหลนี้ ถึงอยากทำให้คุณตื่นเช้ามาทำงาน ?

คำถามนี้เป็นคำถามที่ช่วยทำให้เราทบทวนว่าเรา Passion ในเรื่องนี้จริงๆหรือไม่ และความหลงใหลนี้ทำให้เรามีความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว มากน้อยแค่ไหน ซึ่งคำถามนี้มักจะใช้ในการวัดว่าเราทำงานอย่างคนที่มีแค่วิญญาณ หรือทำอย่างคนที่มีจิตวิญญาณ ลักษณะการทำงานเช่นคนที่มีแต่วิญญาณก็คือ คนที่ทำงานเพียงเพราะมันคือหน้าที่คือสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน ในขณะที่คนที่มีจิตวิญญาณจะตื่นเช้าไปทำงานอย่างมี ชีวิตชีวา ทำงานด้วยความสนุกและความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองทำ อยากเอาชนะอุปสรรค เห็นทุกอุปสรรคเป็นเรื่องท้าทาย สิ่งเหล่านนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องทบทวนว่า Passion หรือ ความหลงใหล ที่เรามีมากพอที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เราอยากทำงานนั้นจริงหรือไม่

ขั้นตอนที่ 3 :

ตั้งคำถามว่า Passion หรือ ความหลงใหล ของเราดีต่อผู้คนจำนวนมากอย่างไร ?

ซึ่งในบทนี้เราจะกล่าวถึงความต้องการและความคิดภายในของเรา ว่าเราสามารถนำสิ่งต่างๆที่เราหลงใหลเหล่านี้แปลเปลี่ยนเป็นคุณค่าได้อย่างไร มากกว่าเรื่องของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ การตั้งคำถามว่าสิ่งที่เราทำ ดีต่อผู้คนอย่างไร ไม่เพียงเฉพาะคนที่เป็นลูกค้าเท่านั้น เป็นคำถามที่เราจะต้องตอบให้ได้ ยกตัวอย่าง เช่น การเริ่มต้นทำธุรกิจอาหาร ภายใต้ความคิดที่ว่า เราไม่เพียงแค่ขายอาหาร แต่สิ่งที่เรากำลังทำนั้นเราต้องการมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้คน มอบความสุขจากการได้ทานอาหารคุณภาพดีอร่อยถูกปาก ส่งมอบสุขภาพกายที่ดีและสุขภาพจิตที่สมบูรณ์ให้แก่ทุกครอบครัว ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หากเราคิดแบบนี้ซ้ำๆโดยเปลี่ยนจากการคิดว่าจะขายเพียงตัวสินค้าเพียงอย่างเดียว แทนที่ด้วยการคิดว่าสิ่งที่เราทำมอบคุณค่าแก่ผู้คนอย่างไร อย่างการชื่นชอบตัวการ์ตูนแล้วคิดว่า อยากจะทำการ์ตูนขาย อาจจะยังไม่ใช่คำตอบที่ทำให้เราสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้ดีนัก แต่หากเราตอบตัวเองว่า เราจะสร้างสรรค์ความสุขเพื่อส่งต่อให้กับทุกๆคนในครอบครัว ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จากคำตอบนี้จะช่วยทำให้เรามองเห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่เรากำลังจะทำ เพียงเท่านี้ก็สามารถเปลี่ยนจากสินค้าให้กลายเป็นคุณค่าอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับบริษัท วอลท์ ดิสนีย์ ที่ไม่เคยคิดว่าธุรกิจของเขาเป็นเพียงการสร้างการ์ตูนธรรมดา แต่ธุรกิจของเขาคือการสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีขึ้น ให้กับผู้คนจำนวนมาก เช่นเดียวกับบริษัท แอปเปิ้ล (Apple) ที่ไม่เคยกล่าวว่าตนเองขายโทรศัพท์มือถือ เพราะการกล่าวว่าตัวเองขายหรือหลงใหลในการทำโทรศัพท์มือถือ จะทำให้แนวความคิดของเราติดอยู่กับแค่ตัวสินค้า ซึ่ง โนเกีย คิดแบบนั้น ในขณะที่แอปเปิ้ลกล่าวว่า สิ่งที่เราทำคือสิ่งที่ช่วยเปลี่ยนแปลงโลกส่งผลให้คนพัฒนาและก้าวไปข้างหน้า ทำให้แอปเปิ้ลสามารถผลิตสินค้าออกมาได้มากมายซึ่งล้วนแล้วแต่เปลี่ยนโลกได้จริง ออกผลิตภัณฑ์มากมายทั้ง ipod ipad imac iphon ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าการตั้งโจทย์ที่ต่างกัน ย่อมส่งผลต่อผลลัพธ์ที่ต่างกันเช่นกัน คำถามข้อนี้จึงเป็นคำถามที่สำคัญมาก ยิ่งเราถามและสามารถตอบได้มากเท่าไหร่ ว่าสิ่งที่เราหลงใหลนี้ สร้างคุณค่าอะไรให้แก่ผู้คน ก็จะยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

ขั้นตอนที่ 4 :

ตั้งคำถามว่า ถ้าโลกใบนี้ขาดแบรนด์เราไป โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร ?

เมื่อเราตั้งคำถามว่า ถ้าโลกใบนี้ขาดแบรนด์เราไป โลกใบนี้จะเป็นอย่างไร แล้วเราได้รับคำตอบว่า หากไม่มีแบรนด์เราแล้วลูกค้าหรือผู้คนสามารถไปใช้สินค้าหรือบริการจากแบรนด์อื่นๆได้ทันที ย่อมแสดงให้เห็นว่าคุณค่าของธุรกิจเรายังน้อยเกินไป ไม่ดีพอที่จะทำให้ลูกค้าหรือผู้คนใช้สินค้าและบริการของเราได้อย่างต่อเนื่อง นี่เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ช่วยเปลี่ยนโลกของ บร่ิษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) จาก 2 ผู้ก่อตั้ง Bill Gates และ Paul Allen ผู้มีความหลงใหลในสิ่งเดียวกัน คือ “คอมพิวเตอร์” และพวกเขายังเชื่อว่าอุปกรณ์นี้จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโลก พร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ว่า “จะทำให้โต๊ะทำงานทุกตัว และทุกบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้งาน” แต่แล้วบริษัทอย่าง ไมโครซอฟท์ ก็ต้องเจอกับวิกฤติหนักครั้งสำคัญ หลังจากที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์ออกมาอย่างต่อเนื่อง วินโดวส์ (Windows) ต่างๆถูกผลิตออก มาอย่างมากมาย แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ด้วยมุ่งมั่นแต่ในเรื่องของรายได้และโอกาสในการสร้างรายได้ จนละเลยว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้น ตรงกับ Passion และคุณค่าขององค์กรที่แท้จริงของตนหรือไม่ หนึ่งในผู้บริหารจึงตั้งคำถามแทนการคิดหากลยุทธ์ในการแก้ไขปัญหา ว่า “ทำไมโลกใบนี้จึงต้องมี ไมโครซอฟท์” ทำให้บรรดาทีมผู้บริหารระดับสูงและองค์กรได้ฉุกคิดว่า ไมโครซอฟท์กำเนิดมาเพื่ออะไร และพบกับคำตอบว่า “ไมโครซอฟท์ กำเนิดมาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพของภาคธุรกิจทั่วโลก” ทำให้พวกเขาได้ทราบถึงสิ่งที่่ควรและไม่ควรทำ ส่งผลให้ ไมโครซอฟท์ ผลิตสินค้าอื่นๆเพิ่มเติมมาเพื่อตอบสนองและสนับสนุนภาคธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และเดินหน้าต่อไปอย่างยั่งยืน

นี่คือ 4 ขั้นตอนการตั้งคำถามที่อยากให้ทุกท่านได้ลองนำกลับไปปรับใช้ ฝึกตั้งคำถามและหาคำตอบให้ได้ ว่าจะสามารถเปลี่ยนจาก Passion ไปเป็น Value ได้อย่างไร โดยฝึกหาคำตอบด้วยวิธีการ เขียนลง Post it แล้วนำไปแปะที่กระดานเพื่อระดมความคิด จากนั้นขีดเส้นใต้คำที่ชื่นชอบ ที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกมีพลัง ช่วงเวลาที่เขียนคำตอบผมแนะนำให้ลืมเรื่องของทฤษฎีและข้อมูลต่าง เขียนคำตอบออกมาจากข้างใน โดยคำตอบจะต้องเกิดจากความมีสมาธิ เพื่อหาคำตอบให้ได้ว่า แท้จริงแล้ว Passion หรือ ความหลงใหลของเราที่แท้จริงคืออะไร