Drop Strategy กลยุทธ์ที่สร้างข้อจำกัดเพื่อสร้างความสำเร็จอย่างไร้ขีดจำกัด

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว drop ถูกผนวกเข้าไปกับการขายสินค้าทั้งทาง online และ offline ดังจะเห็นได้จากภาพของผู้คนมากมายที่เข้าคิวอยู่นอกร้านเป็นเวลานานเพื่อรอซื้อสินค้าในวลาร้านเปิดหรือภาพของหมู่วัยรุ่นที่เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อแย่งกันกดซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ในเวลา drop สินค้าของแต่ละแบรนด์

จะเห็นได้ว่ากลยุทธ์ drop มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์และอารมณ์ที่แตกต่างให้กับผู้บริโภค คือการทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสความรู้สึกแห่งการเป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจนและกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ร่วมกับแบรนด์ในทุกๆประสบการณ์ ซึ่งก็คือการทำให้ผู้บริโภคได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการซื้อสินค้า ซึ่งจะทำให้คนเหล่านี้ตระหนักถึงคุณค่าของสินค้าและแบรนด์ที่ซื้อ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ตอบโจทย์ความต้องการของคนวัยหนุ่มสาวที่ต้องการความท้าทายและประสบการณ์ที่แปลกใหม่

จากกลยุทธ์นี้ทำให้หลายๆ แบรนด์ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น จะเห็นได้จาก Supreme ที่มีสถิติการเข้าซื้อของทางเว็บไซต์เพิ่มขึ้นสูงถึง 16,800 % และราคาสินค้า streetwear ทั้งหลายถูก resell ในช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของแบรนด์เองในราคาที่สูงขึ้นกว่าราคาเดิมมากกว่า 1,200%

ในปัจจุบันนี้กลยุทธ์ Drop ไม่ได้จำกัดการใช้แค่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นอีกต่อไป HotelTonight คือแอพพลิเคชันสำหรับการท่องเที่ยวที่ออกฟีเจอร์ Daily Drop ที่ผู้ใช้งานมีเวลาปลดล็อคส่วนลดสุดพิเศษภายในเวลาจำกัดแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น และนี่เป็นตัวอย่างที่ดีของการปรับใช้กลยุทธ์นี้ให้เหมาะกับสินค้าและบริการที่แตกต่าง เพื่อต่อยอดความสำเร็จให้กับแบรนด์

ภาพจาก : https://sneakernews.com/…/nike-foamposite-campout-supreme-…/